Customer Reviews

ดอกส้มสีทอง (มงกุฎดอกส้ม ภาค 2) (ถ่ายเถา สุจริตกุล)
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ถ้าสัญลักษณ์ของมงกุฎดอกส้มคือการแต่งงานแล้วล่ะก็ บางครั้งก็ยังมีบางคนที่สามารถทำให้ตัวเองไม่ต้องสนใจเรื่องการแต่งงาน ไม่ต้องสนใจเรื่องสัญลักษณ์เหล่า และนี่คือเรื่องราวของหญิงสาวที่กล้าเปลี่ยนสัญลักษณ์ดอกส้มให้กลายเป็นสีทอง
แขก เด็กสาวที่เกิดจากคนใช้ในบ้านเจ้าสัวเชงแห่งคลองภาษีเจริญ เด็กสาวตัวดำปิดปี๋ที่ถูกลูกเจ้านายทั้งคนเล็กคนโตรุมรังแกกลั่นแกล้งล้อเลียน ทำให้กลายเป็นคนมีนิสัยทะเยอทะยาน เธอถูกตั้งชื่อให้ใหม่โดยคำแก้ว คุณนายคนที่ 4 แห่งบ้านหลังนี้ว่า เรยา หลังจากที่ชีวิตพลิกผันให้เธอและแม่ออกจากบ้านเจ้าสัวนี้ไป เธอกลายเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาวึ่งสิ่งที่ตัวเธอต้องการ แม้กระทั่งการแลกด้วยความรัก
เรยา ทะเยอทะยานอยากจนคว้าเอาสามีของเด่นจันทร์ เจ้าของกิจการสายการบิน เธอใช้ร่างกายแลกมาให้ได้ซึ่งตำแหน่งแอร์โฮสเตตอย่างที่เธอต้องการ ทักษะการเรียนภาษาอังกฤษที่ได้มาจากแหม่ม ที่แม่ของเธอได้ไปเป็นแม่บ้านสมัยเธอยังเรียนไม่จบ เส้นทางชีวิตดันไม่จบลงง่ายๆ ด้วยภรรยาที่มีพ่ออันทรงอิทธิพลอย่างเด่นจันทร์ ไม่ยอมให้เรยาเข้ามาทำให้ชีวิตคู่ของเธอพังพินาศได้ลงคอ เธออกคำสั่งให้สามีของเธอเลิกยุ่งกับเรยาอย่างเด็ดขาด ซึ่งเรยา ก็ได้ค่าตอบแทนไปงามในราคายี่สิบล้าน แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พร้อมจะเติมเต็มชีวิตเธอ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกพาให้เธอได้พบกับลูกชายคนโตของบ้านเจ้าสัวเชง คุณชายใหญ่ ที่หักใจจากคำแก้วแต่งงานมีครอบครัวอันอบอุ่น เรยารู้ได้เลยทันทีว่า หากต้องการจะมัดใจผู้ชายคนนี้ไว้ให้ได้แล้วล่ะก็ เธอก็คงต้องมีลูกให้เค้า และแล้วเรยาก็ทำสำเร็จ เธอตั้งครรภ์กับสามีของคนอื่นได้สมใจ และเกมส์การทำลายครอบครัวของชนชั้นสูงที่เธอฝังใจมาตั้งแต่เด็กก็เริ่มต้นขึ้น เรยาให้มารยาและความร้ายกาจสารพัดทำให้ครอบครัวของคุณชายใหญ่พังพินาศจนพอใจ จนกระทั่งเธอได้พบรักใหม่อีกครั้ง รักใหม่ที่ดูเหมือนจะไม่ได้มาเพื่อครองหัวใจเธอ แต่รักใหม่ที่จะพาเธอย้อนกลับไปบ้าน ณ ริมคอลงภาษีเจริญ บ้านที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกๆอย่างในชีวิตเรยา
นิยายภาคต่อจากมงกุฎดอกส้ม ที่สร้างตัวละครที่เป็นกระจกสะท้อนคำแก้วออกมาได้อย่างมีความหมาย ความเข้มข้นที่เคยเป็นละครโทรทัศน์สร้างชื่อมาแล้ว ในฉบับต้นฉบับดีพิมพ์ใหม่อีกครั้ง
อยากเก่ง ต้องกล้า LEAN IN
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

อยากเก่งต้องกล้า หนังสือที่ผู้หญิงนักทำงานต้องอ่านอย่างจริงจัง นี่เป็นเรื่องราวของเชอร์รีล แซนเบิร์ก หญิงสาวที่ต่อสู้จนได้รับการยอมรับในแวดวงการทำงาน ซึ่งเส้นทางในการไปสู่ความสำเร็จของเธอนั้นไม่ง่ายเลย
เชอร์รีล ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานตั้งแต่เธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆในองค์กร การไม่ได้รับความร่วมมือจากเพื่อนร่วมาน การถูกปฏิเสธไอเดียในทุกๆครั้งในห้องประชุม หรือแม้แต่การหยืดยันเพื่อความเป็นตัวเอง ในหลายๆครั้งก็ด้อยกว่าเพื่อนร่วมงานเพศบุรุษอย่างน่าใจหาย เชอร์รีล จะสอนให้เรารู้จักการงัดกดเม็ดเด็ดพราย ในแบบฉบับของผู้หญิงที่เราต้องยอมนับถือความอดทนอันเป็นเลิศของเธอจริงๆ
ในบทต่างๆ ที่เชอร์รีลเล่าให้เราฟังไปก็เหมือนเราได้อ่านนอยายที่บอกเล่าชีวิตเธอไปซักเรื่องนึง ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นมากๆ รวมไปถึงสเน่ห์ของความเป็นผู้หญิงก็ทำให้เรื่องราวการต่อสู้ในอองค์กรของเธอเป็นไปอย่างสนุกสนานมากกว่ากดดันเสียอีก
อย่างเก่งต้องกล้า เป็นหนังสือที่ไม่ได้เหมาะกับเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้ชายก็สามารถอ่านได้ และพูดกันตรงๆว่าผู้ชายก็ควรจะต้องอ่านหนังสือเล่มนี้จริงๆจังๆ เพื่อให้เห็นถึงบางสิ่งบางอย่างที่คุณอาจจะทำกับเพื่อนร่วมงานผู้หญิงไปโดยไม่รู้ตัว หรือแม้แต่การมองเห็นอีกมุมมองของผู้หญิงที่คุณอาจจะไม่เห็นมาก่อนด้วยก็ได้
โดยรวมแล้วถึงแม้ว่าในสังคมไทย เราอาจจะไม่ได้รู้สึกอินมากนัก เพราะเราได้ผ่านการเห็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จมีอยู่ให้เห็นอย่างมากมาย การอ่านหนังสือเล่มนี้ จึงเป็นเพียงแค่ทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจได้อยู่เหมือนกัน
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้หญิงและผู้ชาย ยังไงยังไง ก็ไม่เหมือนกัน คำพุดนี้คงเป็นเรื่องที่จริงเป็นอย่างมากจนหาอย่างอื่นเปรียบไม่ได้เลย จนถึงขั้นมีขนานนามให้ว่าผู้ชายมาจากดางอังคารและผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ นี่คือหนังสือที่จะบอกความจริงที่เกี่ยวกับความคิดของผู้ชายและผู้หญิง เปิดประเดิมความจริงที่ซ่อนเร้นมานานของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ว่าอะไรซ่อนอยู่ภายใต้ความต่างเหล่านี้ และเราจะหาวิธีอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
เริ่มต้นด้วยหลัก 4 ประการที่หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด ในบางครั้งเมื่อความสัมพันธ์มาถึงจุดจุดนึง ความเจ็บปสดมันก็มากมายเสียจนยากที่จะพูดว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามความสัมพันธ์เหล่านั้น ก็ต้องพัฒนาไปให้ได้อีกขั้น ในบทความสัมพันธ์ที่คาดคิด ก็ยังคงพูดถึงลักษณะและรุปแบบความสัมพันธ์ที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมองให้กับตัวเองและต้องการให้กับตัวเอง วึ่งมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หรือจะเป็นบทที่พูดอย่างไรไม่ให้ผู้ชายรู้สึกถุกตำหนิ เพราะหลายๆครั้งผู้หญิงไม่รู้ตัวเลยว่าการพูดจาของเธอกำลังสร้างรอยแผลที่บาดลึกให้กับผู้ชายเป็นอย่างมาก และผู้ชายเป็นเพศที่ไม่ชอบถูกตำหนิไม่ว่าจะกรณีใดใดก็ตาม
ผู้ชายมากจากดาวอังอาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ เป็นหนังสือที่เรียกได้ว่าใหอรรถรศความันส์ที่เกินคาด ด้วยภาษาการเล่าที่มีลูกเล่นและชั้นเชิงชัดเจน ชำแหละให้เห็นถึงวิธีการคิดของทั้งผู้ชายและผู้หญิงให้ช่วนหัวและติดตาม จนไปถึงการค้นหารูปแบบความสัมพันธ์ที่ลงตัวระหว่างกันของผู้ชายและผู้หญิง ส่วนตัวที่ชื่นชอบมากๆเพราะเนื้อหาที่พูดถึงการหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกัน เพราะหลายๆครั้งในยุคที่ความแตกต่างทวีความรุนแรง ผู้หญิงและผู้ชาย เลือกที่จะหันหลังให้กันแทนที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกันและนำพาความสัมพันธ์ไปสู่จุดที่ลงตัว
ฮอบบิท The Hobbit (ปกอ่อน)
4
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

เรื่องราวก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามทำลายแหวน นี่เป็นเรื่องราวอันสนุกสนานและการผจิญภัยสุดคาดคิดของบิลโบ้ แบคกินส์ เรื่องราวของการเดินทางที่นำไปสู่การเขียนหนังสือ There and Back Again รมถึงที่การได้มาของดาบเรืองแสงและแหวนแห่งมอร์ดอร์
เมื่อบิลโบ้ แบกกินส์ผู้ใช้ชีวิตสุดแสนจะเรียบง่านในไชน์ ถูกคัดเลือกจากพ่อมดแกนดาล์ฟให้เป็นหัวขโมยประจำคณะเดินทางของเหล่าคนแคระ ที่จะต้องเดินทางไปยังเมืองของตนเองที่ถูกมังกรยักษ์สเมาก์บุกเข้าทำลายและยึดครองเอาเป็นของตน หลังจากที่ราชาผู้ปกครองนั้นมีแต่ความโลภในสมบัติ การผจญภัยวุดคาดคิดของบิลโบ้ แบคกินส์ และเหล่าคนแคระ ของฮออบบืท เป็นเนื้อเรื่องที่สนุกนานชวนอ่าน เป็นการผจญภัยล้วนๆไม่ได้มีรายละเอียดตัวละครหรือเรื่องราวที่ซับซ้อนมากมาย เลยทำให้การเล่าเรื่องเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยฉากและการผจญภัยที่น่าตื่นตา ทั้งยังบอกเล่าที่มาของการได้ครอบครองแหวนของบิลโบ้ หลังจากที่เขาพลัดตกลงไปในถ้ำของเหล่าก๊อบลิน และได้พบกับกอลั่ม ที่นั่งคลั่งแหวนอย่เป็นเวลาหลายร้อยปี จนในที่สุดโชคชะตาก็นำพาให้บิลโบ้ ได้นำแหวนออกมาจากถ้ำ นับว่านี่เป็นปฐมบทการเริ่มต้นของวรรณกรรม Lord of The Ring ผลงานชิ้นเอกของเจ.เจ.อาร์ได้เลยทีเดียว
ฮอบบิท ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตรที่แตกขยายยาวไปอีกถึง 3 ภาค ซึ่งรายละเอียดความยาวขนาดนั้น ก็แตกแขนงออกมาจากในหนังสือเล่มนี้นั่นเอง นับว่านี่เป็นต้นฉบับที่ควรค่าแก่การเก็บสะสมให้เข้าเซ็ทของ Lord Of Ring ด้วยอีกเล่ม และฉบับปกอ่อนนี้ที่ทำขึ้นตอบรับกระแสภาพยนตร์ด้วย ก็ยิ่งทำให้หน้าอ่านมากยิ่งขึ้นไปอีก
Resident Evil พลิกแฟ้ม...ผีชีวะ
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 30 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

สำหรับ Resident Evil ชื่อเรื่องราวแนวสยองขวัญระดับตำนาน ที่มชื่อเสียงมาจากเกมส์แนวสยองขวัญแอคชั่นชื่อดัง Biohazard จนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ที่กวาดรายได้ไปด้วยความยาวถึง 5 ภาคด้วยกัน และด้วยความสำเร็จมากมายขนาดนี้ ทำให้แฟนๆเกมส์หลายๆคนยกให้ Resident Evil กลายเป็นที่หนึ่งตลอดกาลในแง่ของเกมส์อมตะ
พลิกแฟ้ม ผีชีวะ เป็นหนังสือที่รวบรวมเอาข้อมูลจากเกมส์ Resident Evil ทุกภาคมารวมเอาไว้ในแบบฉบับ Case File หรือไฟล์ที่ซ่อนอยู่ในเกมส์จากทุกๆภาค ทุกๆด่าน ไม่ว่าจะเป็นภาคแยกภาคหลัก หรือฉบับหนังอนิเมชั่น ที่จะทำให้คุณรู้เรื่องราวของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และการนำมาใช้เป็นอาวุธชีวภาพของบริษัทอัมเบรลล่า คอร์เปอเรชั่น ที่นอกจากจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่ถือไว้ว่าครบถ้วนที่สุดแล้ว ยังถือเป็นหนังสือที่เก็บรายละเอียดของเรื่องราว Resident Evil ที่แฝงสูตรลับและเรื่องลับเอาไว้ให้ผู้อ่านได้ตะลึงอีกต่างหาก
เนื้อเรื่องที่เล่าตั้งแต่การค้นพบดอกไม้ที่ทำให้มีชีวิตยืนยาวที่แอฟริกา ไปจนถึงที่มาที่ไปของผู้ก่อตั้งบริษัทอัมเบรลล่าทั้ง 4 ความโหดร้ายของสเปนเซอร์ ที่พยายามจะกุมอำนาจของโลกไว้ในมือ หรือแม้แต่โศกนาฎกรรมที่แรคคูนซีตี้ ที่หลายคนอาจจะได้รับรู้เรื่องราวมาเพียงด้านเดียวเท่านั้น
ในเล่มยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับเชื้อมรณะที่มีอยู่จริงๆในโลก การรวบรวมหลักฐานของเชื้อปรสิต ที่ทำหน้าที่เป็นพาหะในการติดต่อต่างๆ หรือแม้แต่กระทั่งประวัติโดยละเอียดของตัวละครที่คุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นคริส เรดฟิลด์ จิล วาเลนไทน์ ลีออน เคเนดี้ หรือแม้กระทั่งแคลร์ เรดฟิลด์ ค้นพบการดิ้นรนเอาชีวิตรอดของหลายชีวิต ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อปราบปรามเหล่าอาวุธชีวภาพให้หมดไปจากโลกนี้
ตัวเล่มแบ่งการเล่าออกมาเป็น Case File แล้วเรียงตาม ค.ศ. ซึ่งอาจจะยากสำหรับคนที่เคยอ่านหนังสือมาแบบนิยายมาก่อน การเล่าแบบกระจายเนื้อเรื่องไปยังยุคต่างๆ อาจจะทำให้การประติดประต่อเนื้อเรื่องไม่ค่อยดีนัก แต่โดยรวมแล้วนี่เป็นหนังสือที่แฟนพันธุ์แท้ของ Resident Evil ต้องเก็บเอาไว้จริงๆ
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 30 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ในยุคที่มาร์เก็ตติ้งเป็นเหมือนตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของการทำธุรกิจ นี่เป็นหนั’สือที่จะบอกเล่าถึงการทำมาร์เก็ตติ้งให้ประสบความสำเร็จตามวิถีแบบ Dentsu Way วัฒนธรรมตามแบบฉบับองค์กรญี่ปุ่น ที่ถอดแบบมาเพื่อการทำการตลาดให้เกิดผลกระทบสูงที่สุด หรือเรารู้จักกันในชื่อไวรัลมาเก็ตติ้ง
ในยุคปัจจุบันที่การทำไวรัลมาเกตติ้งต้องส่งผลการตลาดให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด Dentsu Way จะล้วงความลับของยอดไลค์เฟซบุ๊คทีมีราคาไลค์ละ 4 บาทออกมาให้คุณได้คำนวณ การปลุกกระแสข่าว หรือการหาประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจ การสร้างแบรนด์ลงบนกระแส เทคนิคการเข้าใจกระแส และการปั่นกระแสให้เกิดประสิทธิภพสูงสุด ในเล่มนี้รวบรวมเอาไว้ให้คุณอย่างครบถ้วนไม่มีช่องว่างช่องโหว่
อีกประเด็นหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้กล้ายกเอามาพูดและโดยส่วนตัวคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเอามากๆอีกประการ ก็คือการใช้ทรัพยากรคนที่จะบริหารการตลาดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และคนที่เข้าใจการตลาดมากที่สุด ทำให้หลายๆคนที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่กับเรื่องนี้ คงต้องหันมามองศักยภาพของคนตัวเองกำลังมีอยู่ว่ากำลังและการทำความเข้าใจต่อการตลาดที่มีอยู่ตอนนี้เป็นแบบไหนอยู่
ในโลกที่ข่าวสารและกระแสเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนผู้คน Dentsu Way จะเรียนรู้วิธีการที่เรียบง่ายที่สุด แต่เข้าถึงและกระจายได้สูงที่สุด การทำไวรัลมาเก็ตติ้งที่มีประสิทธิภาพสูง อาจจะกำลังเกิดขึ้นกับคุณก้ได้เพียงได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ในด้านการใช้ภาษาก็ต้องยอมรับในความมึนงงอยู่ซักหน่อย เนื่องด้วยการยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่มาจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกเช่นเคยและการแปลที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง และอาจจะทำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจเนื้อหาอยู่บ้าง และต้องใช้การทำความเข้าใจที่มากเข้าซักหน่อย แต่โดยรวมแล้วหนังสือเล่มนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆสำหรับผู้ที่กำลังทำงานด้านมาร์เก็ตติ้ง
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 30 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

โฮวาร์ด ชูลล์ CEO ของ Starbuck ร่วมมือกับนักเขียนส่วนตัว รังสรรค์หนังสือที่จะมาตีแผ่ความสำเร็จและการล้มลุกคลุกคลานของธุรกิจกาแฟที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ความสำเร็จของกาแฟที่ทำเป็นมากกว่ากาแฟธรรมดา ที่มนุษย์หลายๆคนยอมจ่ายมากกว่าเพื่อให้ตัวเองได้ถือแก้วสตาร์บัคส์ เอกลักษณ์ของกาแฟที่เต็มไปด้วยเรื่องราวสุดเหลือเชื่อ ว่ากว่าจะมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จนี้ ชูลล์ได้ผ่านเรื่องราวอะไรมากบ้าง
ในหนังสือพูดถึงแนวความคิดตั้งแต่เขาเริ่มทำธุรกิจไปจนกระทั่งประสบปัญหาต่างๆมากมาย เบื้องหลังความจริงของราคากาแฟสตาร์บัคส์ที่สูงจนน่าตกใจ ว่าแท้จริงแล้ว มีต้นกำเนิดมาจากการถูกขึ้นราคาของเม็ดกาแฟ เมื่อต้นทุนการผลิตเม็ดกาแฟถูกเพิ่มมูลค่า โฮวาร์ด ชูลล์มีทางเลือกสองทางที่จะไปต่อ ระหว่างะขึ้นราคากาแฟ หรือ คงราคาเอาไว้เท่าเดิม ซึ่งทั้งสองทางเลือก ก็อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่างๆได้มากมายอย่างคาดไม่ถึง
ในเล่มยังสะท้อนปัญหาอีกมายมายที่สามารถดึงคุณให้ถอยหลังไปสู่ความล้มเหลว ด้วยสารพัดข้อจำกัดที่อาจจะทำให้ต้องล้มลุกคลุกคลานมากๆ โฮวาร์ด ชูลล์ได้เสนอแนะวิธีและกลยุทธ์ที่เรียกว่าการ “ถอยไปข้างหน้า” โดยการยกตัวอย่างกรณีที่หลังจากเขาต้องประปัญหาการขึ้นราคาของเมล็ดกาแฟ เค้าตัดสินใจที่จะขึ้นราคากาแฟ โดยทราบดีว่า เค้าอาจจะต้องสูญเสียลูกค้าไปเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็ยอมพร้อมทั้งติดป้ายเพิ่มเติมด้วยว่าราคากาแฟจำเป็นต้องขึ้น เนื่องจากเมล็ดกาแฟขึ้นราคา แต่หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้แล้ว ราคาจะกลับมาเป็นปกติ แต่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ราคากาแฟของสตาร์บัคส์ก็ไม่เคยลดลงเป็นปกติอีกเลย
โดยส่วนตัวหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างไปในทางหนังสือแนวชีวประวัติและประสบการณ์ทำงานของโฮวาร์ด ชูลล์ซะเอง โดยรวมก็ไม่ได้แนะแนวทางในมุมกว้าง หรือช่วยให้เกิดการตัดสินใจที่ดีขึ้นได้มากนัก แต่ถ้าหากจะมองในแง่ของการนำตัวอย่างการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม เล่มนี้ได้บอกเล่าในทุกย่างก้าวให้เราได้เข้าใจอย่างไม่กั๊กเลยทีเดียว
ยกเครื่องความคิด Rework
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 29 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ถ้าคุณต้องการหนังสือที่จะมานั่งพูดให้คุณเปลี่ยนมุมมองในการทำธุกิจ เปลี่ยนวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล หรือมุ่งไปสู่เป้าหมายอะไรทำนางนี้ ให้คุณมองข้ามหนังสือเล่มนี้ไปได้เลย เพราะหนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนังสือ How To ที่ไม่เหมือนเล่มอื่นๆที่คุณเคยรู้จักมาทั้งหมด ด้วยเนื้อหาที่ขัดกับแนวทางหลายๆอย่าง หรือแทบจะขัดกับจริยธรรมพื้นฐานที่คุณมีอยู่เลยทีเดียว
ยกเครื่องความคิด จะสอนให้นักธุรกิจหรือแม้แต่ผู้ที่กำลังเปลี่ยนมุมมองความคิด ได้มองโลกในแบบที่คุณไม่เคยได้มองมาก่อน ด้วยการเอาแนวคิดของคนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมายกตัวอย่างหมด ตั้งแต่แม่ค้าข้างถนน ว่าการคิดคำว่าของพวกเธอมีประโยชน์อย่างไร ข้อดีของการพูดประชดประชัน หนังสือยังแนะวิธีให้เราเดินตามหลังคู่แข่ง ลอกเลียนแบบวิธีการที่เป็นไปได้มากให้หมด หรือแม้แต่การเลียนแบบนักค้ายา วิธีที่พวกเขาหลบหลีกกฎหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ต้องการ หรือแม้แต่การสอนให้ปฏิเสธลูกค้าให้มากขึ้น ไม่จมอยู่กับความพยายามที่จะทำความต้องการของลูกค้าให้เป็นจริง โดยไม่คำนึงว่าเราอาจจะไม่ได้ไปสู่เป้าหมายได้เลยถ้ายังจมอยู่กับลูกค้าคนนี้อยู่ได้อีก สอนให้เรารู้จักมีความสุขอยู่กับข้อจำกัดต่างๆที่กำลังบีบคั้น ไม่ให้เราไปข้างหน้าได้
ส่วนตัวในหนังสือเล่มนี้นำเสนอวิธีต่างๆที่ค่อนข้างโหดร้ายไปซักนิด และไม่ได้คำนึงถึงศีลธรรมถูกผิดมากนัก ซึ่งจริงๆแล้ว ก็ถือว่ามันเป็นธรรมชาติของการทำธุรกิจให้เกิดผลกำไรและประสบความสำเร็จ เพราะถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหนในโลก ก็ล้วนมีวิธีที่แปลกประหลาด เพื่อจะดิ้นรนและนำพาสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ไปสู่จุดมุ่งหมายให้ได้
ยกเครื่องความคิด จะทำให้คุณลืมข้อจำกัดต่างๆ ที่ทำให้คุณจมอยู่กับที่ ด้วยอรรถรสการบรรยายที่แสนจะเมามันส์ การท้าทายให้คุณลองฉีกกรอบที่ครอบคุณไว้ หรือแม้แต่การทำงานให้ได้อย่างกรรมกร ซึ่งในแต่ละบทล้วนเต็มไปด้วยบททดสอบที่จะเปลี่ยนมุมมองความคิดในการทำธุรกิจ หรือแม้แต่มุมมองความคิดที่คุณมีต่อชีวิตเปลี่ยนไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทำน้อยให้ได้มาก (THE POWER OF LESS)
4
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 29 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

อย่างไรก็ตามต้องพูดกันตรงๆว่าความขี้เกียจเอาชนะได้ทุกสิ่งจริงๆ แต่สิ่งที่เอาชนะความขี้เกียจได้อีกที ก็คือการเลือกวิธีที่จะทำให้ “ง่าย” และสบายตัวที่สุด ละเกิดผลลัพธ์ให้มากที่สุด และหนังสือเล่มนี้ “ทำน้อยให้ได้มาก” กำลังจะนำคุณไปพบกับหลากหลายวิธีที่จะมำให้การทำงานเยอะๆเหนื่อยๆ ไม่ต้องกลับมาหลอกหลอนคุณได้อีก
ทำน้อยให้ได้มาก เป็นหนังสือที่จะงัดเอาสารพัดเทคนิคการทำงานให้น้อยที่สุด แต่เกิดผลลัพธ์ที่สูงที่สุด ซึ่งในบทแรกๆก็จะว่าด้วยการจัดการชีวิตของตัวเราเองก่อน ว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ ทำงานต่อวันเท่าไหร่ รายได้ต่อวันเท่าไหร่ แล้วหลังจากนั้น หนังสือจะช่วยให้คุณบริหารจัดการชีวิตของคุณใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารเวลา ที่หลายๆคนละเลยไป และยิมทำงานหนักชนิดที่ว่านั่งหลังขดหลังแข็งโดยไม่ได้รู้เลยว่า เรากำลังใช้พลังงานไปอย่างผิดที่ผิดเวลา
ในบทต่อๆมาจะเน้นมากในเรื่องการจัดการเวลาและการจัดการภาระของตัวเอง ซึ่งจะชี้ให้เราเห็นช่องทางของเวลาที่เราสามารถเอาไปต่อยอดทำอย่างอื่นได้อีก และที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือเวลาของการพักผ่อน หลายๆคนเชื่อเหลือเกินว่าตัวเองไม่มีเวลาพักผ่อนเพราะว่าตัวเองทำงานหนัก ทั้งๆที่จริงๆแล้ว หากบริหารเวลาดีดี เราจะได้เวลาพักผ่อนที่เยอะเอามากๆเลยทีเดียว เพราะตัวผู้เขียนเองเชื่อว่าการพักผ่อน เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เรากลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและจบลงได้อย่างรวดเร็ว
และในบทหลังๆก็จะพูดถึงเรื่องของความรับผิดชอบ ที่หลายๆคนไม่ประสบความสำเร็จและต้องวกวันอยู่กับภาระของานที่หนักอึ้ง ก็คือการขาดความรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง ความรับผิดชอบต่องาน และความรับผิดชอบต่อเวลา ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะต้องหันกลับมาดูแล เพราะการจัดการเวลา ย่อมแปรผันตรงตามความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ในท้ายที่สุด หากเราสามารถทำได้ งานหนัก ก็จะไม่มีคำว่าหนักอีกต่อไป และเรก็จะสามารถทำน้อย ให้ได้มากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนซะอีก
ในแง่ของการใช้ภาษา หนังสือเล่มนี้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย อ่านสนุก และเหมือนกับมีผู้เขี่ยนมาช่วยนั่งอธิบายอยู่ข้างจริงๆ หลายๆมุมมองเป็นเรื่องที่ตรงกับชีวิตหลายๆคนเป็นอย่างมาก หลายๆเรื่องเราได้แต่มองข้าม ต้องพูดว่านี่เป็นหนังสือที่ชวนให้ฉุกคิดจริงๆ
รหัสลัดอัจฉริยะ The Talent code
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 29 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผลการศึกษากล่าวว่าทุกวันนี้คนเราใช้สมองได้ไม่เต็ม 100% ของศักยภาพที่มันควรจะทำได้ แต่ศักยภาพอันน่าทึ่งนั้น จะถูกดึงมาใช้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่ขับขันมากจริงๆเท่านั้น เช่นเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เราสามารถวิ่งหนีพร้อมหอบข้าวของวิ่งหนีตายออกมาได้อย่างไม่คิดชีวิต หรือเวลาที่เราต้องการเอาตัวรอดจากสถาการณ์ที่ขับขัน หาทางออกไม่ได้ ทั้งๆที่แท้ที่จริงแล้ว สมองของเรากำลังประมวลผลหาความเป็นไปได้ และดึงเอาคำตอบที่มีประสทิธิภาพและเหมาะสมที่สุดต่อสถานการณ์นั้นๆออกมาใช้นั่นเอง
ในหนังสือรหัสลัดอัจฉริยะ จะพาคุณไปพบความลับที่ซ่อนอยู่ในหัวของคุณ พลังการทำงานของสมองที่มันขาดหายไป การตามหาผลลัพธ์ที่คุณเองกำลังเฝ้าหามานาน ทั้งที่จริงแล้วคำตอบที่คุณรออยู่กำลังอยู่ตรงหน้าคุณนั่นเอง ในหนังสือยังมีบทสดสอบสมองของคุณในแง่ของความจำ หรือการใช้ไหวพริบ ด้วยแบบฝึกง่ายๆ และค่อยๆไล่ระดับไป จนทำให้คุณคุ้นชินกับการใช้สมองอย่างเต็มประสิทธิภาพให้ได้มากที่สุด
ในด้านของการอ่าน หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเนื้อหาที่ไม่ได้เข้าถึงยากจนเกินไป อาจจะเริ่มต้นด้วยผลวิจัยและตัวอย่างต่างๆที่ดูน่าเบื่อ แต่หากอ่านไปจนถึงช่วงกลางเล่มได้แล้ว หนังสือเล่มนี้ได้บริหารสมองของเราไปทีละนิด จนกระทั่งรู้ว่าจริงๆแล้ว เราสามารถทำอะไรกับสมองของเราและจัดการกับปัญหาต่างๆได้อีกมากมาย อย่างที่เราคาดไม่ถึง
หลายๆคนอาจจะมองว่าหนังสือแบบนี้เป็นหนังสือที่ชี้แนะช่องทางไปสู่ความสำเร็จ หรืออะไรก็ตามในเชิงธุรกิจ แต่ต้องบอกเลยว่าจริงๆแล้ว หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับนักอ่านทุกวัย ทุกคน เพราะในท้ายที่สุดแล้ว การได้สำรวจประสิทธิภาพการทำงานของสมองตัวเอง ว่าเราสามารถก้าวไปได้ไกลมากแค่ไหน ก็นับเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้อ่านเองว่าจะนำเทคนิคต่างๆที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ไปใช้ในแง่ไหนได้บ้าง
แล้วจะรู้ได้เองว่าการเป็นอัจฉริยะ ไม่ได้มีแต่คนเก่งๆเท่านั้น ในเมื่อคนเราทุกคนมีสมองเหมือนกัน เรียนมาเหมือนกัน แล้วทำไมเราถึงจะเก่งไม่ได้อย่างเค้า คำพูดนี้ จะเป็นประเด็นหลักของหนังสือเล่มนี้ ที่จะทำให้คุณจดจำไปอีกนานแสนนาน
คิดแบบเชอร์ล็อค โฮล์มส์
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 28 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หลายๆคนคงได้ยินชื่อนักสืบจากนวนิยายชื่อดังอย่างเชอร์ล็อค โฮล์มและหมอวัตสัน ที่ช่วยกันไขคดีปริศนาได้อย่างมีชั้นเชิง ทำให้เกิดวรรณกรรมแนวสืบสวนสอบสวนที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่หนังสือเล่มนี้ จะเอาเทคนิคต่างๆที่เชอร์ล็อคใช้เพื่อไขคดี มาชำแหละให้แจ่มกระจ่างมากขึ้นไปอีก ด้วย คิดแบบเชอร์ล็อค ที่จะทำให้หัวสมองของคุณได้รู้จักการคิดแบบเป็นระบบมากยิ่งขึ้น หรือยิ่งไปกว่านั้น การบริหารสมองเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาที่เป็นระดับที่ยากขึ้นไปอีก ให้คุณออกจากกรอบปัญหาที่ซับซ้อนแล้วสามารถหาทางออกได้ง่ายเหมือนกับที่เชอร์ล็อคทำได้
ในแต่บทจะเริ่มต้นด้วยการให้คุณเข้าใจวิธีการคิดแบบคร่าวๆก่อน ให้คุณรู้จักกลไกของปัญหา และการพยายามไล่แก้ตามกลไกของปัญหาที่มีอยู่ หลังจากนั้นคุณจะได้พบกับวิธีการคิดแบบนักสืบ ว่านักสืบทั่วๆไปหรือแม้แต่เชอร์ล็อคเอง มีวิธีการไขคดีต่างๆอย่างไร หรือมีวิธีการคิดการแก้ปัญหาต่างๆอย่างไร ซึ่งแต่ละบืเรียนที่คุณได้อ่าน ไม่ใช่บทเรียนแบบผิวเผิน แต่จะมีบทเรียนที่เป็นแบบฝึกหัดให้คุณได้ลองแก้ปัญหาผ่านควิซต่างๆ ตัวเลขต่างๆที่ซับซ้อน ไปจนถึงการแก้ปัยหาผ่านสถานการณ์ที่คุณอาจจะยังไม่คุ้นเคยเลย และท้ายที่สุด การประยุกต์ใช้การแก้ปัญหาและวิธีการแบบนักสืบไปใช้แก้ปัญหาในระดับที่ใหญ่ขึ้นและกว้างขึ้นกว่าเดิม
ความยากของหนังสือเล่มนี้ เห็นจะเป็นการทำความเข้าใจระบบความคิดแบบนักสืบที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีระบบความคิดที่เป็นระบบเอามากๆ ทำให้คนที่ไม่เคยอ่านเชอร์ล็อค โฮล์มมาก่อน หรือคนที่ไม่ได้อินกับเรื่องราวของนักสืบมากนัก อาจจะรู้สึกว่ากำลังอ่านหนังสือที่เป็นยาขมสำหรับตัวเองเอามากๆเลยทีเดียว หรือแม้แต่แบบฝึกหัดต่างๆที่ยอมรับเลยว่ามีความยากแบบหินมากๆ ก็อาจจะทำให้ผู้อ่านหลายคนต้องปิดหนังสือแล้วไปหาอ่านเล่มที่เข้าใจอะไรอะไรได้ง่ายกว่านี้อีกซักหน่อย
แต่หากสำหรับแฟนพันธุ์แท้ หรือผู้ที่อยากได้หนังสือควิซบวกกับเนื้อหาที่เล่นกับความสามารถของสมองของคุณด้วยแล้ว เล่มนี้ถือว่าเป็นของคู่ควรอย่างมาก ที่คุณสามารถอยู่กับเล่มนี้ได้เป็นวันวันเพื่อไขปริศนาที่ตัวคุณเองก็ยังไม่แน่ใจว่จะแก้ไขได้หรือเปล่า แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อหนังสือเล่มนี้เฉลย คุณจะพบว่าการแก้ปัญหาไม่ใช่สิ่งที่ยากอีกต่อไป
ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 28 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หนังสืออารมณ์ดีจากสำนักพิมพ์ A Book ที่จะพาคุณท่องไปในโลกของวิวัฒนาการทางภาษาชวนอารมณ์ขัน ที่แม้แต่หน้าปก ก็ชวนหยิบขึ้นมาอ่านเข้าให้แล้ว ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง กล่าวถึงที่มาของภาษาสมัยใหม่และเก่า ที่คนรุ่นใหม่อาจจะกำลังเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นได้ไม่ถ่องแท้ หรือแม้แต่นำมาใช้ผิดๆเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก เช่นคำว่า บ่องตง ร้อนตับแตก หรือแม้แต่โคโยตี้ ที่เราๆไม่เคยรู้ว่านักเต้นนุ่งน้อยห่มน้อยเหล่านั้น ที่แม้เรากำลังเรียกชื่อพวกเธอตามชื่อภาพยนตร์ที่ปลุกกระแสคำว่าโคโยตี้ให้ดัง และคำว่าโคโยตี้ ก็ไม่ได้มีความหมายเกี่ยวอะไรกับคำว่านักเต้นเลย หรือแม้แต่คำว่าร้อนตับแตก ที่เราอาจจะหลงลืมไปว่า คำว่าตับ ไม่ได้หมายถึงอวัยวะภายในร่างกายของคนเราแต่อย่างใด หากแต่หมายถึงตับของจากที่เอาไว้มุงหลังคา ที่หากโดนกับความร้อนมากๆก็จะเกิดการแตกจนเกิดเสียงต่างๆ รวมถึงคำหลายๆคำที่หลายๆคนอาจจะทึ่งในที่มาที่คาดไม่ถึงอย่าง ขึ้นคาน ซิ่ว หรือแม้แต่ ดูม ดูม
นอกจากนั้น ยังมีการอธิบายหลักภาษาไทย ที่มีเนื้อหาสนุกสนานเข้าใจง่ายกว่าบทเรียนภาษาไทยสัมยมัธยมเป็นไหนๆ อย่างสำนวนที่พูดกันจนติดปากว่า ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง หรือ งูใหญ่นอนอยู่ริววัดโมลีย์โฬก์ การผันอักษรสูงกลางต่ำ ที่หลายๆคนก็ยังเข้าใจผิดๆอยู่ หรือแม้แต่การใช้คำว่า ค่ะ คะ นะคะ น่ะค่ะ ที่สาวๆหลายคนก็ยังสับสน เขียนผิดๆถูกๆอยู่อีกมากมาย
ปิดท้ายด้วยการรวมรวมคำผิดจากที่ต่างๆที่เราเห็นกันจนชินตา และน่ากลัวตรงที่เราไม่รู้ซะแล้วว่า เรากำลังเขียนผิดกันอยู่อย่างคำว่า อัญชัญ หรือ ก๋วยเตี๋ยว เป้นต้น
ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง ต้องยกให้เป็นหนังสือที่มีอารมณ์ขันและจิกกดัได้อย่างมีสไตล์และชั้นเชิงเป็นอย่างมาก ทำให้ความเข้าใจในภาษาไทยที่เคยเป็นเรื่องน่าเบื่อและซับซ้อน กลับกลายเป็นเรื่องที่สนุกสนานและชวนอ่านได้อย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงดีไซน์รูปลักษณ์ที่น่าอ่านน่าซื้อ ทำให้หนังสือเล่มนี้ กำลังพูดเนื้อหาที่เก่าคร่ำครึในรูปแบบร่วมสมัยได้อย่างออกรสชาติ และขำขันไปในเวลาเดียวกัน อีกทั้งความยาวของหน้าหนังสือที่พอเหมาะ ไม่หนาจนเกินไป เล่มนี้ก็ทำให้หลายๆคน้องยอมจับจองเป็นเจ้าของในทันที
กลับหัวคิด มองชีวิต 60%
4
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 28 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

คุณหมอไซโด้ ในวัยปลดเกษียณเขียนบรรยายชีวิตในวัย 60 ปี ว่าจะมีวิธีการอย่างไรในการจัดการชีวิตที่เหลืออยู่อีกครึ่งนึง นี่เป็นหนังสือที่กล่าวถึงความหมายของการใช้ชีวิตเอาไว้อย่างเข้มช้น และด้วยสำนวนการเล่าที่ยังใช้ภาษาที่ทันสมัยจากการแปลบทภาษาไทย ก็สามารถทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ง่าย ถึงเรื่องราวอันน่าประทับใจและชวนขบขิตของชีวิตคุณหมอวัย 60 ที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวดีดีให้กับคนที่มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ได้เข้าใจมากขึ้น
หนังสือเปิดขึ้นมาด้วยการตั้งคำถามและการหาความหมายของการใช้ชีวิต ความหมายของคำว่าชีวิตที่หลายๆคนอยากที่จะนิยามแต่คุณหมอได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ได้อย่างคมคายและสนุกสนาน ยังรวมไปถึงบทต่อๆไปที่พูดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาในชีวิตของท่าน ที่ทำให้หวนกลับไปถึงสิ่งที่เสียดาย ที่ไม่ได้จัดการเรื่องเหล่านั้นให้เรียบร้อยเสียก่อน จนอายุร่วงเลยมาเท่านี้ ด้วยอายุของคุณหมอวัย 60 ที่มองโลกย้อนเวลากลับมาด้วยความคิดที่กลับหัว ทำให้ผู้อ่านที่ถึงแม้จะอายุยังน้อยก็สัมผัสได้ถึงข้อคิดหลายอย่างที่ต้องชวนให้นึกถึงการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่เรายังขาดสติและการตั้งคำถามว่า ในเวลาปัจจุบันนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่และต้องการอะไรกับชีวิตที่แสนสับสนนี้กันแน่
เนื้อหาในเล่มถึงอาจจะดูว่าเป็นปนังสือที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัยแต่กลายเป็นว่าภาษาที่ใช้กลับเหมาะกับวัยรุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนกับเราได้นั่งฟังคุณลุงหัวทันสมัย พูดให้คำปรึกษาในเรื่องที่เรากำลังสับสน เมื่ออ่านไปจนจบ เราจะรู้สึกทึ่งในความคิดของคุรหมอไซโด้ ที่มีมุมมองชีวิตที่เจ๋งเอามากๆ และน่าเสียดายแทนคุณหมอที่ไม่ได้จัดการเรื่องราวต่างๆได้ทันในเวลาที่เหมาะสม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สำหรับนักอ่านรุ่นใหม่ นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก ในการเรียนรู้หาความหมายของการใช้ชีวิตได้ก่อน แม้ว่าเราจะยังอายุน้อย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้ นับเป็นกำไรชีวิตอย่างมหาศาล ที่ได้อ่านก่อนที่เราจะมีอายุร่วงเลยไปถึงอายุ 60 และหนังสือเล่มนี้ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อีกว่า ความแตกต่างของวัย ไม่ได้ทำให้มุมมองของคนต่างวัยไม่ตรงกัน แต่กลับกลายเป็นว่าคนต่างวัยต่างหากที่มุมมองสะท้อนสิ่งที่เราเองอาจจะมองข้ามไปก็เป็นได้
ชีวิตมั่งคั่งด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 28 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

คุณลองหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา คุณเห็นพลังงานที่ซ่อนอยู่หรือไม่ จุนอิชิโร ชี้ให้คุณเห็นถึงคุณค่าของกระเป๋าสตางค์ท่ไม่มีใครมองเห็นมันเป็นสิ่งของที่มีพลังอำนาจบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนให้คนที่ยากจนที่สุด กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีความสุขที่สุดในชีวิตได้เลย หนังสือเล่มนี้สะท้อนการใช้เงินจากกระเป๋าตังค์ของคุณชนิดที่เรียกได้ว่าแม่นเกินตาเห็น พฤติกรรมของคุณที่มีผลต่อกระเป๋าสตางค์ของคุณ กลายเป็นตัวกำหนดว่าคุณเป็นคนอย่างไร สภาวะทางการเงินของคุณเป็นอย่างไร และคุณสามารถทำให้เงินในกระเป๋าสตางค์งอกเงยได้อย่างไร
เนื้อหาบทหนึ่งกล่าวว่ากระเป๋าสตางค์ก็เหมือนคน ไม่ชอบกระเป๋าสตางค์อ้วนๆ อัปลักษณ์และรกรุงรัง การดูแลรักษาเงินในกระเป๋าสตางค์จะท้อนว่าคนคนนั้นมีวินับต่อการใช้เงินอย่างไรหรือแม้แต่การที่คุณมีบัตรส่วนลดอยู่ในกระเป๋าสตางค์มากก็ทำให้เงินในกระเ๋าร่อยหรอลงมากเท่านั้น หนังสือเล่มนี้สอนให้เราปฏิบัติต่อเงินอย่างสุภาพ แล้วเงินก็จะหาทางกลับมาหาคุณเองอย่างสุภาพเช่นเดียวกัน หรือแม้แต่การสอนให้เราซื้อของแพงมากกว่าซื้อของลดราคา เพราะของแพงจะสอนให้เรารู้จักคุณค่าของเงิน ในขณะที่ของลดราคาจะสอนให้เรารู้คุณค่าของปริมาณ
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจคือความเรียบง่ายของเนื้อหา เพียงแค่กระเป๋าสตางค์เพียงหนึ่งใบ ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับนักอ่านได้มากมายถึงหลายร้อยหน้า และภาษาที่ใช้ก็เรียบง่าย การแปลที่ใช้ภาษาได้อย่างสละสลวย และะเข้าใจง่าย อาจจะมีบางบทที่ยกบริบทของชาวญี่ปุ่นขึ้นมาให้เกิดความสับสนทางวัฒนธรรมเล็กน้อย และอาจจะทำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจในเนื้อหาได้บ้างในบางจุด
แต่โดยรวมแล้ว ชีวิตมั่งคั่งด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว เป็นหนังสือที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการสำรวจตัวเอง การใช้เงินที่ใช้จ่ายไปแต่ละวันอาจจะกำลังสร้างบาดแผลที่ร้ายกาจได้อย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงการดูแลรักษากระเป๋าสตางค์ที่หลายๆคนมองข้าม หากหันกลับมาใส่ใจซักนิด ก็อาจทำให้ชีวิตที่เคยขาดทุน กลับมาได้กำไรอย่างมหาศาลได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่เป็นหนังสือดีดีอีกหนึ่งเล่มที่ควรค่าแก่การหามาอ่าน และเพื่อตั้งโจทย์ให้กับการใช้ชีวิตในรูปแบบที่ใหม่มากขึ้นแล้วคุณจะพบว่า แค่กระเป๋าสตางค์หนึ่งใบ ก็สามารถพลิกฐานะทางการเงินของคุณแบบหน้ามือเป็นหลังมือได้เลยทีเดียว
ใช้คน 2 คนให้ได้ผลเท่า 7 คน
5
โดย: แซทเทิร์น วันที่เขียนรีวิว: 28 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

มันเป็นหนังสือที่ว่าด้วยทฤษฎีง่ายๆ ว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนตัวคุณ ให้เป็นตัวคูณได้หรือเปล่า การประเมิณตัวเอง และการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดแบบเต็มพิกัดของความสารถนั้น คุณจะไปได้ไกลมากถึงเท่าไหร่ ใช้คน 2 คน ให้เท่า 7 คนเป็นหนังสือเชิงธุรกิจและปรัชญาที่เหมาะมากกับผู้ที่กำลังหาวิธีบริหารคนในองค์กร หรือการจัดการกับทรัพยากรคนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตัวหนังสือพูดถึงทฤษฎีในการจัดประเภทคนต่างๆให้เหมาะสมการสิ่งที่ตัวคนเหล่านั้นสามารถทำได้ การตัดสินใจให้ไปถึงสิ่งต่างๆที่กำลังรออยู่ และการกระจายงานและสิ่งที่รับผิดชอบ ให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงสุด
หนังสือในบทแรกๆเน้นให้เรารู้จักถึงการตัดสินใจ เพราะผู้เขียนเชื่อว่าการตัดสินใจ เป็นตัวกำหนดธุรกิจ อง์กร และทุกๆอย่างที่กำลังจะตามมาหลังจากการตัดสินใจเสร็จสิ้นลง ดังนั้นเมื่อเราตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และรอบคอบดีแล้ว การประเมิณศักยภาพของตัวเองและคนในทีมจะเป็นลำดับต่อมา ในตัวเล่ม จะชี้ให้เราเห็นถึงข้อบกพร่อง ข้อดีและข้อด้อยของตัวเอง ต่อสิ่งต่างๆที่อาจจะมีผลให้เราได้ใช้ประสิทธิภาพที่เรามีอยู่ได้ไม่เต็มความสามารถ และสิ่งนั้นเองที่ถือเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งยวดที่ทำให้การใช้ทรัพยากรคนแล้วล้มเหลว
ในตัวเล่มยังมีการยกตัวอย่างสถานการณ์ต่างๆที่ผู้เขียนเคยได้รับประสบการณ์ตรงมา จากการบริหารงานบุคคล และเกิดความล้มเหลว ชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่องของการไม่ทำความเข้าใจธรรมชาติของคน และจุดแข็งจุดต่างๆที่หลายๆคนควรมี รวมถึงเทคนิคในการเปลี่ยนตัวคุณให้กลายเป็นตัวคูณที่สามารถกระจายงานที่ได้รับมอบหมายและภาระต่างๆไปยังคนที่สามารถแบกรับมันได้อย่างเต็มที่และสามารถปิดงานที่คุณกระจายไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยรวมๆแล้วหนังสือเล่มนี้ถือเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับใครที่กำลังจะต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น มุมมองและแง่คิดต่างๆที่เราอจจะไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า หนังสือเล่นี้ได้รวบรวมมาให้ผู้อ่านได้ประกอบการตัดสินใจเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการกนังสือเล่มนี้นับว่าเป็นประโยชน์มากที่ผู้ประกอบการจะใช้ในการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล เพราะการเห็นคุณค่าของคนต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังและคิดเรื่องนี้ให้ได้อย่างถ้วนถี่ และแม้ว่าภาษาที่ใช้จะเรียบง่าย แต่ประเด็นที่แฝงเอาไว้ ก็ยังต้องชวนให้กลับมาตีความอีกหลายรอบ
www.batorastore.com © 2024